วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เทศกาล Easter


อีสเตอร์ (Easter) หมายถึง การระลึกถึงการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์ หรือวันคืนพระชนม์ เข้าใจว่าอีสเตอร์มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณ คือคำว่า Eastre ซึ่งเป็นชื่อเทพธิดาของฤดูใบไม้ผลิ ผู้รู้บางท่าน กล่าวว่าอาจมาจากภาษาเยอรมันโบราณ คือ คำว่า Eostarun ซึ่งแปลว่ารุ่งอรุณ

คำว่า “Easter (อีสเตอร์)” มาจากคำภาษาอังกฤษและเยอรมันเก่าแก่ว่า “Eastre” ซึ่งตรงกับภาษากรีกว่า “Paschal” หรือ “Passover” หรือ เทศกาลปัสกา นั่นเอง 


เทศกาลปัสกาคือเทศกาลที่ชาวยิวระลึกถึงการที่พระเจ้าทรงนำพวกเขาออกมาจากการเป็นทาสในอียิปต์
ย้อนไปเมื่อตอนที่ฟาโรห์ปฏิเสธที่จะปล่อยชาวอิสราเอล พระเจ้าให้ทูตมรณะเข้าไปในครัวเรือนของอียิปต์และปลิดชีพบุตรหัวปีทั้งหมด ยกเว้นบ้านของชาวยิวที่นำโลหิตของแกะมาทาที่ประตูบ้าน ทูตมรณะจะผ่านเว้นไป จึงเรียกว่าการ Pass-over หรือ ภาษาฮีบรู เรียกว่า“Paschal” ภาษาไทยเรียกว่า “ปัสกา” หลังจากนั้นอีกประมาณ 1500 ปีพระเยซูเสด็จมาประสูติในโลก คือเทศกาลคริสต์มาสและทำพันธกิจของพระองค์ในแผ่นดินโลกจนมาถึงช่วงเทศกาลปัสกา พระเยซูก็ถูกจับไปทรมาน และสิ้นพระชนม์บนกางเขน โลหิตของพระองค์จึงเปรียบเสมือนเลือดแกะที่ช่วยชีวิตคนให้รอด เหมือนคืนวันปัสกา หลังจากนั้นในเช้าวันที่สาม พระองค์ฟื้นขึ้นจากความตาย ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ ต่อมาใน คศ.ที่ 320 ทางศาสนจักรได้ประกาศให้วันอีสเตอร์ คือ วันอาทิตย์แรกหลังวันเพ็ญใกล้ฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งจะตรงกับวันอาทิตย์ใกล้วันปัสกา ซึ่งจะอยู่ช่วงระหว่างวันที่ 21 มีนาคม ถึง 25 เมษายนของทุกปี
คริสเตียนถือว่า วันที่พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เป็นวันที่สำคัญที่สุด เป็นหัวใจของข่าวประเสริฐ เพราะถ้าไม่มีวันอีสเตอร์ วันคริสตมาสหรือวันศุกร์ประเสริฐ ก็ไม่มีความหมาย เพราะถ้าพระเยซูเสด็จมาเกิด และสิ้นพระชนม์โดยไม่ได้เป็นขึ้นมาใหม่ พระองค์ก็จะเป็นพระเจ้าที่ตายแล้ว ไม่สามารถช่วยเราได้ แต่เมื่อพระองค์ได้ชัยชนะเหนือความตาย บรรดาผู้เชื่อจึงมีความหวังที่แน่นอน ที่จะเป็นขึ้นจากความตาย มีชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์สถานกับพระเจ้า ได้มีความมั่นใจในชีวิตนิรันดร์หลังความตาย
สิ่งนี้ได้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่า หลังจากพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์ได้ไปปรากฏในที่ต่างๆ หลายแห่ง ท่ามกลางสาวก และได้อยู่กับสาวกเป็นเวลา 40 วัน จึงได้เสด็จสู่สวรรค์ท่ามกลางพยานถึง 500 คน เมื่อพระองค์ตรัสสั่งสาวกให้ไปประกาศข่าวประเสริฐ จนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก (มัทธิว 28:18-20) และพระองค์ทรงสัญญาว่าจะอยู่กับพวกเขาจนกว่าจะสิ้นยุด และยังสัญญาว่าจะกลับมารับพวกเขาไปอยู่กับพระองค์ พวกสาวกจึงได้ออกไปประกาศข่าวนี้ โดยไม่กลัวอันตรายใดๆ บ้างก็ถูกต่อต้าน ถูกจับทรมาน ถูกฆ่าตาย แต่พวกเขาก็ไม่หยุดยั้ง เพื่อยืนยันถึงสัจธรรมที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นความจริง โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ยิ่งนับวัน ผู้คนติดตามพระองค์ก็มีมากขึ้น พระองค์ได้สถาปนาอาณาจักรของพระองค์ด้วยความรัก ที่สละได้แม้ชีวิตของพระองค์เอง ที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นความจริง
พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่หลายตอนด้วยกัน ก็ได้ยืนยันเรื่องการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ เช่น พระคัมภีร์ มัทธิว บทที่ ๒๘:๑-๑๑ “การคืนพระชนม์”
๑ ภายหลังวันสะบาโต เวลาใกล้รุ่งเช้า วันต้นสัปดาห์ มารีย์ชาวมักดาลา กับมารีย์อีกคนหนึ่งนั้นมาดูอุโมงค์
๒ ในทันใดนั้น ได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ยิ่งนัก มีทูตของพระเจ้าองค์หนึ่ง ได้ลงมาจากสวรรค์กลิ้งก้อนหินนั้นออกจากปากอุโมงค์ แล้วก็นั่งอยู่บนหินนั้น
๓ สัณฐานของทูตนั้นเหมือนแสงฟ้าแลบ เสื้อก็ขาวเหมือนหิมะ
๔ ยามที่เฝ้าอยู่นั้นกลัวทูตองค์นั้น จนตัวสั่น และเป็นเหมือนคนตาย
๕ ทูตสวรรค์นั้นจึงกล่าวแก่หญิงนั้นว่า “อย่ากลัวเลย เรารู้แล้วว่า พวกเจ้าทั้งหลายมาหาพระเยซูซึ่งถูกตรึงไว้ที่กางเขน
๖ พระองค์หาได้ประทับอยู่ที่นี่ไม่ ทรงเป็นขึ้นมาแล้วตามซึ่งพระองค์ได้ตรัสไว้นั้น มาดูที่ซึ่งพระองค์ได้บรรทมอยู่นั้น
๗ แล้วจงรีบไปบอกพวกสาวกของพระองค์เถิดว่า พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และพระองค์เสด็จไปยังแคว้นกาลิลีก่อนเจ้าทั้งหลาย เจ้าทั้งหลายจะเห็นพระองค์ที่นั่น นี่แหละเราก็บอกเจ้าแล้ว”
๘ หญิงเหล่านั้น ก็ไปจากอุโมงค์โดยเร็ว ทั้งกลัวทั้งยินดีเป็นอันมาก วิ่งไปบอกพวกสาวกของพระองค์
๙ ดูเถิด พระเยซูได้เสด็จพบเขา และตรัสว่า “จงจำเริญเถิด” หญิงเหล่านั้นก็มากอดพระบาทนมัสการพระองค์
๑๐ พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “อย่ากลัวเลย จงไปบอกพวกพี่น้องของเราให้ไปยังกาลิลี จะได้พบเราที่นั่น” ( และการคืนพระชนม์ในพระคัมภีร์เล่มอื่นๆใน พระธรรม มก.๑๖:๑-๘; ลก.๒๔:๑-๑๒; ยน.๒๐:๑-๑๐ ) “พยานผู้รู้เหตุการณ์ในวันอีสเตอร์”
หลังจากพระเยซูคืนพระชนม์เป็นขึ้นจากความตาย คือ “วันอีสเตอร์” ได้ทรงปรากฏแก่เหล่าสาวก หลายครั้งจนมีพยานหลักฐานมากมายยืนยันในวันนั้น
1.พยานบุคคล
1.1มารีย์ มักดารา (ยน.20.11-18 ) …….สาวกหญิงอดีตคือหญิงผิดประเวณี
1.2ผู้หญิงสามคน ( มก.16.1-8,มธ.28.1-10…..มารีย์มักดารา มารีย์ มารดาของยากอบและนางสะโลเม
1.3เปโตร ( ลก.24.34,1คร.15.5 )…..สาวกที่เป็นผู้นำของพระเยซู มีอีกชื่อคือเคฟาส
1.4สาวก 2 คน ( ลก.24.13-35 )…..เคลโลปัส กับเพื่อน
1.5สาวก 10 คน ( ลก.24.36-43,ยน.20.19-23 )….ยกเว้นยูดาส กับโธมัส
1.6สาวก 10 คนและโธมัส ( ยน.20.24-29 )….ยกเว้น ยูดาส
1.7สาวก 7 คน ( ยน.21.1-23 )….เปโตร โธมัส,นาธาเอล,ยากอบ,ยอห์น และสาวก อีก2 คน
1.8สาวก 500 คน (ยน.20.24-29 )
1.9ยากอบ ( 1 คร.15.7 )….น้องชายพระเยซู และเป็นผู้นำคริสตจักรยุคแรก
1.10อัครทูตทั้งหมด (1 คร.15.7,มก.16.14-20 )…..ที่เหลือ 11 คน หลังจากยูดาสทรยศและเสียชีวิตด้วยการแขวนคอตัวเองตายเพราะรู้สึกเสียใจที่ขายพระเยซู
1.11สเทเฟน ( กจ.7.54-60 )…..หนึ่งใน7มัคนายก ชุดแรก ของคริสตจักร
1.12เปาโล ( กจ.9.1-25,1 คร.15.8,22.17-21
1.13เปาโล ( กจ.22.17-21 )….เมื่อกลับใจใหม่ๆขณะอธิษฐาน
1.14เปาโล ( กจ.23.77 )……เมื่อทหารแยกท่านจากพวกสะดูสี และฟาริสี
1.15ยอห์น ( วว.13.18 )…..เมื่อท่านอยู่ที่เกาะปัทมอส
2.พยานวัตถุ ( ยน.20.3-9; มธ.27.66 )
2.1 ตราประทับของเจ้าหน้าที่โรมถูกทำลาย
2.2 หินใหญ่ปิดปากอุโมงค์เปิดออก
2.3 อุโมงค์ว่างเปล่าปราศจากพระศพ
2.4 ผ้าพันพระศพยังพันและวางอยู่ในรูปเดิม
3.พยานเอกสาร
3.1 จดหมายฝากในพระคัมภีร์ใหม่
3.2 พระคัมภีร์กิจการในพระคัมภีร์ใหม่ ข้อเขียนของนักประวัติศาสตร์ เช่น โจเซฟัส, อิกเนเชียส,จัสติน มาร์เตอร์, เทอร์ ทัลเลียน
“สัญลักษณ์น่าสนใจที่เกี่ยวกับวันอีสเตอร์”
1. ดอกไม้ : ดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของวันอีสเตอร์ คือ ดอกลิลลี่ หรือดอกพลับพลึงสีขาวบริสุทธิ์ ที่เบ่งบานยามรุ่งอรุณ มีกลิ่นหอมบริสุทธิ์เมื่อแรกแย้ม
2. สวนดอกไม้ – ซึ่งสื่อความหมายถึง ความสุขสมหวัง สดใสชื่นบาน สวยงาม
3. ผีเสื้อ – สื่อความหมายถึงชีวิตใหม่ เหมือนตัวดักแด้ที่ออกมาจากเปลือกหุ้ม และโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างอิสรเสรี คล้ายกับองค์พระเยซูคริสต์ที่สิ้นพระชนม์ และถูกเก็บไว้ในอุโมงค์ หลังจากนั้น 3 วัน จึงฟื้นคืนพระชนม์
4. ไข่ ( Easter egg) หมายถึง ชีวิตใหม่ การหาไข่อีสเตอร์ กลาย เป็นธรรมเนียมประเพณีที่สนุกสนาน เคียงคู่ไปกับการเฉลิมฉลองวันอีสเตอร์ จนยากที่จะตัดทิ้ง ทั้งๆที่ไข่ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับอีสเตอร์เลย เริ่มแรกเมื่อมีการใช้ไข่ในยุโรปสมัยโบราณ หมายถึง “ชีวิตใหม่” หรือ “ความอุดมสมบูรณ์ที่กลับมาอีกครั้งหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ” ชาวยุโรปเคยใช้ไข่กลิ้งไปตามท้องทุ่ง แล้วบนบานให้ทุ่งนาของตนมีผลิตผลบริบูรณ์ ต่อมาเมื่อผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ได้ขยายเผยแผ่เข้าไปในยุโรป และในหลายๆประเทศยอมรับเชื่อเป็นสาวกของพระเยซู เมื่อถึงเทศกาลปัสกา หรือ อีสเตอร์ ซึ่งตรงกับฤดูใบไม้ผลิพอดี เลยเอาไข่ที่เคยใช้แต่ก่อนแล้วมาผสมผสานด้วย ส่วนในปัจจุบันนี้ มีการทำช็อกโกแลตเป็นรูปไข่ลวดลายต่างๆ หรือ ทำไข่พลาสติกที่บรรจุขนมหวานไว้ข้างใน และมีการเอาไข่ต้มมาทาสี หรือ ไข่พลาสติกสีสันต่าง ๆ ไปซ่อนให้เด็กค้นหา โดยมีความหมายแฝงเร้นอยู่ว่าอีสเตอร์ คือ วันที่พระคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย และเสด็จออกจากอุโมงค์ฝังศพที่มีก้อนศิลามหึมาปิดอยู่นั้นถูกเปิดออก เหมือนดังที่ลูกไก่ได้เจาะเปลือกไข่ออกมาเป็นตัวนั่นเอง
5. กระต่ายอีสเตอร์ (Easter Bunny) ก็เช่นเดียวกับ “ไข่” คือเป็นสัญลักษณ์ของ “ชีวิตใหม่” ธรรมชาติของกระต่ายจะออกลูกดกในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ความหมายของกระต่ายจึงหมายถึงชีวิตใหม่มากกว่าการเน้น “การเป็นขึ้นจากความตาย” ส่วนตำนานที่สมัยใหม่หน่อย เกี่ยวกับกระต่ายมีดังนี้ ผู้หญิงคนหนึ่ง ซ่อนไข่อีสเตอร์ไว้สำหรับลูก ๆ ในช่วงกันดารอาหาร ในขณะที่เด็ก ๆ พบไข่นั้น มีกระต่ายตัวใหญ่กระโดดหนีออกไป พวกเขาก็เลยคิดว่า กระต่ายเป็นผู้นำเอาไข่มาให้ กระต่ายจึงมาเกี่ยวข้องกับไข่โดยปริยาย
6. ฤดูใบไม้ผลิ หมายถึง สัญลักษณ์ของการบังเกิดใหม่ ฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตใหม่ ที่ได้ผ่านพ้นฤดูหนาวที่มีหิมะตกหนาวเย็นนั้น ต้นไม้ทิ้งใบเสมือนตายไปแล้ว พอถึงฤดูใบไม้ผลิก็ผลิใบใหม่และต้นได้ฟื้นขึ้นมาใหม่หรือเปรียบเสมือนการเกิดใหม่นั่นเอง
7. กางเขน และ อุโมงค์ที่ว่างเปล่า เป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นขึ้นมาจากความตาย
“ความหมายที่แท้จริงของอีสเตอร์ สำหรับคริสเตียน จึงหมายถึง”
• การที่ทำให้เรามีประสบการณ์ในการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์มากขึ้น
• ทำให้เราตระหนักถึงฤทธิ์อำนาจอันมิได้จำกัดของพระองค์มากขึ้น
• ทำให้คริสเตียนดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อมากขึ้น
• เรียนรู้ที่จะมีชีวิตที่บริบูรณ์ไปด้วยความรักต่อคนในครอบครัวและเพื่อนร่วมโลกมากขึ้น ดังที่พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างแก่เราบนกางเขนนั้นแล้ว
• และทำให้คริสเตียนดำเนินชีวิตที่เหลืออยู่ ไม่ใช่ด้วยความสิ้นหวัง แต่ด้วยความหวังใจอยู่เสมอ ในวันต่อวันบนโลกชั่วคราวใบนี้ เพราะเมื่อถึงวันนั้น วันที่พระเยซูได้ทรงสัญญากับผู้เชื่อทุกคนว่า พระองค์จะเสด็จกลับมารับเราไปอยู่กับพระองค์ และที่นั่นจะไม่มีน้ำตาอีกต่อไป..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น