วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สมุนไพร"บัวบก"คุณค่าที่มากกว่าแก้ช้ำใน




เอ่ยชื่อสมุนไพร “บัวบก” ขึ้นมาทีไร คุณสมบัติแก้ช้ำในขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่ความจริงแล้วยังมีสรรพคุณที่น่าสนใจอื่นอีกมากมาย

บัวบกหรือผักหนอก เป็นสมุนไพรบำรุงสมองที่คนเฒ่าคนแก่รู้จักกันเป็นอย่างดี หมอยาทุกภาคใช้บำรุงร่างกาย บำรุงประสาท บำรุงความจำ บำรุงสายตา บำรุงผม บำรุงเอ็น เป็นยาอายุวัฒนะ ซึ่งสรรพคุณดีที่สุดต้องใช้ผักหนอกขมซึ่งมักขึ้นตามธรรมชาติ ใช้ได้ทั้งเด็กและคนแก่

ใน คัมภีร์อายุรเวทของอินเดีย กล่าวว่า บัวบกทั้งต้นมีกลิ่นฉุน มีรสขมหวาน ย่อยได้ง่าย เป็นยาเย็น ยาระบาย ยาบำรุง ช่วยฟื้นฟูสุขภาพ บำรุงเสียง ช่วยทำให้ความจำดีขึ้น เป็นยาเจริญอาหาร แก้ไข้ แก้อักเสบ ผิวหนังเป็นด่างขาว โลหิตจาง มีหนองออกจากปัสสาวะ หลอดลมอักเสบ น้ำดีในร่างกายมากไป ม้ามโต หืด กระหายน้ำ แก้คนเป็นบ้า โรคเกี่ยวกับเลือดและโรคที่มีสมุฏฐานจากเสมหะ

ในอินเดียบางแคว้นกินใบบัวบกกับนมวันละ 1-2 ใบ เป็นประจำทุกวัน เชื่อว่าจะช่วยทำให้จิตใจสดชื่นแจ่มใส ช่วยให้ความจำดีขึ้น บำรุงร่างกาย บำรุงประสาทและโลหิต ส่วนการแพทย์จีน ถือว่าบัวบกคือสมุนไพรของความเป็นหนุ่มสาว อีกด้วย

กินแอปเปิ้ล ลดไข้ !!!



บางคนพอร่างกายอ่อนแอ ก็เป็นไข้ ปวดหัว ตัวร้อน ทว่าป่วยอย่างนี้บ่อยๆ แล้วจะต้องกินยาเรื่อยๆ คงไม่ดีนัก อีกทั้งคนกินยายากก็ยิ่งลำบากใจ วันนี้ 'มุมสุขภาพ' ภูมิใจแนะนำผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณลดไข้ได้ นั่นคือ 'แอปเปิ้ล'

ในแอปเปิ้ล อุดมด้วยสารอาหารมากมาย ทั้งวิตามินบี1 บี2 บี6 โพแทสเซียม กำมะถัน เหล็ก และแมกนีเซียม ช่วยคลายเครียด ล้างพิษในไตและตับ วิตามินซี เบต้าแคโรทีน ไฟโตเคมิคอลเควอเซติน กรดมาลิก และเส้นใยแพ็กติน ให้สรรพคุณช่วยย่อย ล้างกระเพาะและลำไส้ ที่สำคัญน้ำซึ่งสกัดจากแอปเปิ้ล ดื่มแล้วช่วยลดไข้ได้

เพื่อความอร่อย และเพิ่มคุณค่า ยังสามารถผสมน้ำแอปเปิ้ลรวมกับน้ำที่สกัดจากแครอต เป็นการเติมสรรพคุณกระตุ้นภูมิคุ้มกันอีกด้วย

หากต้องการทำเป็นดื่มน้ำแอปเปิ้ลและแครอต มีส่วนผสมที่ต้องเตรียม ประกอบด้วย...
แอปเปิ้ลเขียว 1 ถ้วย
แครอต 1 ถ้วย
น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย


ขั้นตอนในการทำ ให้ล้างทำความสะอาดแอปเปิ้ลเขียวและแครอต จากนั้นขูดแครอตเป็นเส้นๆ ส่วนแอปเปิ้ลเขียวหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าขนาดเล็ก ได้แล้วนำส่วนผสมไปสกัดพร้อมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสร็จแล้วเติมน้ำแข็งป่นช่วยเพิ่มรสชาติ และควรดื่มทันที.

วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ดูแลสุขภาพจิตช่วงน้ำท่วม

ปัญหาสุขภาพจิตที่มากับอุทกภัย เป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้ เพราะจากการลงพื้นที่ของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ประเมินปัญหาสุขภาพจิตใน 36 จังหวัด พบยอดรวมสะสมถึง 92,310 ราย มีความเครียดสูง 3,706 ราย มีภาวะซึมเศร้า 5,313 ราย เสี่ยงฆ่าตัวตายอีก 727 ราย สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาที่ต้องเฝ้าระวัง และต้องแนะนำผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตอย่างเร่งด่วน ขณะเดียวกันผู้ประสบภัยทุกคนต้องดูแลสุขภาพจิตตัวเองด้วย

ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต สธ. แนะแนวทางการดูแลจิตใจในช่วงอุทกภัย ประกอบด้วย 10 ข้อ ดังนี้


1. ตั้งสติให้มั่น มองทุกปัญหาว่ามีทางแก้ไข

2. หากรู้สึกท้อใจ ให้ค้นหาแหล่งสร้างกำลังใจให้กับตัวเอง ได้แก่ ความรักความผูกพันกับคนในครอบครัว ความศรัทธาทางศาสนา การมีเป้าหมายชีวิตที่มีคุณค่า ความเชื่อว่าปัญหาจะผ่านไปแล้วมันจะดีขึ้น การมองเห็นสิ่งดีๆ ในชีวิต

3. ฝึกหายใจคลายเครียด และทักษะผ่อนคลายอื่นๆ

4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง

5. พูดคุยกับคนใกล้ชิด อย่าคิดคนเดียว ช่วยกันปรึกษาหารือ แปลงปัญหาเป็นโอกาสในการสร้างความผูกพันใกล้ชิดต่อกัน

6. บริหารร่างกายเป็นประจำ เท่าที่สภาพแวดล้อมจะเอื้ออำนวย อย่างน้อยครั้งละ 30 นาที วันเว้นวัน

7. ศึกษาและปฏิบัติตามหลักคำสอนทางศาสนา

8. มองหาโอกาสในการช่วยเหลือผู้อื่น เข้าร่วมกิจกรรมของชุมชน

9. คิดทบทวนสิ่งดีๆ ในชีวิตเป็นประจำทุกวัน

10.จัดการปัญหาทีละขั้นทีละตอน ทำในสิ่งที่ทำได้สร้างความรู้สึกสำเร็จเล็กๆ จากสิ่งที่ทำ ไม่จมไปกับปัญหาที่ยังแก้ไขอะไรไม่ได้ หลีกเลี่ยงการใช้สุราหรือสารเสพติดในการจัดการความเครียด ความทุกข์ใจ

วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2554

28 ข้อคิดในการใช้ชีวิต

28 ข้อคิดในการใช้ชีวิต เป็นข้อคิดที่เก็บไว้เมื่อนานมาแล้ว แต่เมื่อเอามาอ่านอีกทีก็พบว่ายังเป็นเรื่องที่ดีมากๆที่ควรแบ่งปันให้รับ รู้โดยทั่วกัน ได้มาจากฟอเวิร์ดเมล์เมื่อนานมาแล้ว ลองอ่านกันดูนะ

1.อย่าทำลายความหวังของใคร เพราะทั้งชีวิตเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้นก็ได้

2.เมื่อมีคนเล่าว่าเขามีส่วนร่วมในเหตุการณ์สำคัญ จง เป็นผู้ฟังที่ดีอย่าไปคุยทับ อย่าไปขัดคอ

3.จงตั้งใจฟังให้ดี โอกาสทองบางทีมันก็มาถึงแบบแว่วๆเท่านั้น

4.หยุดอ่านคำอธิบายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ตามทางบ้างเพราะมีอะไรดีๆ บางอย่างซ่อนอยู่

5.จะคิดทำการใดจงคิดการให้ใหญ่เข้าไว้ แต่ให้เติมความสนุกสนานลงไปด้วยเล็กน้อย

6.หัดทำสิ่งดีๆให้กับผู้อื่นจนเป็นนิสัยโดยไม่จำเป็นต้องให้เขารับรู้

7.จงจำไว้ว่า ข่าวทุกชนิดล้วนถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น

8.เวลาเล่นเกมกับเด็กๆก็ปล่อยให้เด็กชนะไปเถอะ

9.ใครจะวิจารณ์เรายังงัยก็ตาม อย่าเสียเวลาไปโต้ตอบ แต่ให้ปรับปรุงตนเอง

10.จงให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ “สอง” แต่อย่าให้ถึง “สาม”

11.อย่าให้วิจารณ์นายจ้าง ถ้าทำงานไม่มีความสุขก็ลาออกดีกว่า

12.ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้วอะไรๆ มันก็ไม่สำคัญอย่างที่คิดไว้แต่แรกหรอก

13.ใช้เวลาให้น้อยๆในการคิดว่า”ใครผิด” แต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า”อะไร” เป็นสิ่งที่ผิด

14.จงจำไว้ว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับ ” คนโหดร้าย ” แต่กำลังสู้กับ ” ความโหดร้าย ” ในตัวคน

15.โปรดคิด คิด คิด และคิดให้รอบคอบ ก่อนที่จะให้เพื่อนเรามีภาระในการเก็บรักษาความลับ

16.ยอมที่จะแพ้ในสงครามย่อยๆ เมื่อการแพ้นั้นจะทำให้เราชนะในสงครามใหญ่

17.เป็นคนถ่อมตน จำไว้ว่าคนอื่นทำอะไรต่อมิอะไรสำเร็จกันมามากมายก่อนเราเกิดเสียอีก

18.ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายสักเพียงใด จงสุขุมเยือกเย็นเข้าไว้

19.มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยกว่าเสมอ

20.อย่าให้ปัญหาของเราทำให้คนอื่นต้องเบื่อหน่าย ถ้ามีใครมาถามว่า ” เป็นไง?” ตอบไปเลยว่า ” สบายมาก”

21.อย่าพูดว่าเรามีเวลาไม่พอ เพราะทุกคนในโลกก็มีเวลาวันละ 24 ชม.เท่ากัน

22.จงเป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยว เมื่อเหลียวไปดูอดีต เราจะเสียใจในสิ่งที่ควรทำแล้วไม่ได้ทำ มากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว

23.ประเมินตนเองด้วยมาตรฐานตนเอง ไม่ใช่มาตรฐานคนอื่น

24.จริงจัง และเคี่ยวเข็ญต่อตนเองให้มาก แต่จงอ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น

25.ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพโดยสุจริต ไม่ว่างานนั้นจะดูแย่แค่ไหนในสายตาคนรอบข้าง

26.คำนึงถึงการมีชีวิตให้ ” กว้างขวาง ” มากกว่าการมีชีวิตเพื่อ ” ยืนยาว ”

27.(บางครั้ง) อย่าไปหวังเลยว่าในชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม

28.ว่ากันว่ามี 3 สิ่งที่ไม่ควรถูกทำให้แตกหรือทำลาย ได้แก่ ของเล่นเด็ก คำสัญญาและจิตใจของใครๆ ก็ตาม

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554

โยเกิร์ต มีประโยชน์มากมาย


โยเกิร์ต เป็นอาหารที่ดูดีมีชาติตระกูล เหมาะกับสาวรุ่นใหม่อย่างเราเป็นที่สุด แต่เบื้องหลังหน้าตาสวยใส โยเกิร์ตยังมีความลับที่คุณอาจยังไม่รู้


คนที่ท้องเสียเป็นเพราะมีเชื้อจุลินทรีย์อยู่ในลำไส้ แต่เชื้อจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตเกิดมาเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดเลวทั้งหลาย การกินโยเกิร์ตจึงทำให้อาการท้องเสียของคุณทุเลาอย่างรวดเร็ว ทำให้ถ่ายน้อยลงหรือหยุดถ่าย
โยเกิร์ตมีไขมันชื่อคอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก ช่วยป้องกันโรคหัวใจ
โยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย เป็นแหล่งรวมของสารอาหารถึง 11 ชนิด และแต่ละชนิดก็เป็นตัวแม่สำหรับร่างกายทั้งนั้น อย่างไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามินบี 12 ทริปโทฟาน โพแทสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี และวิตามินบี 5 คนที่กินโยเกิร์ตเป็นประจำถึงได้อายุยืนแถมแข็งแรง

ถึงแม้จะทำมาจากนม แต่โยเกิร์ตให้โปรตีนและแคลเซียมสูงกว่านมธรรมดา เพราะลำไส้ของเราย่อยนมไม่ได้ แต่สำหรับโยเกิร์ตกลับทำได้ชิลๆ เพราะในโยเกิร์ตมีกรดแลกติกที่จะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้

จุลินทรีย์ทั่วไปอาจทำร้ายร่างกายแต่แลคโตบาสิลัสในโยเกิร์ตเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ร่างกายต้องการ มันจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ "เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร" ที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ ลดการอักเสบของลำไส้และไขข้อ แถมยังทำตัวเป็นนักปราบปรามจุลินทรีย์ที่จะทำให้คุณเป็นมะเร็งปากมดลูก ช่วงที่มีรอบเดือนผู้หญิงจึงควรทานโยเกิร์ตเป็นประจำ

แคลเซียมสูงที่ได้จากโยเกิร์ตจะทำให้เป็นสาวกระดูกเหล็ก ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ความดันสูง มะเร็งลำไส้ และยังกระตุ้นระบบเผาผลาญทำให้คุณผอมเองโดยไม่ต้องเหนื่อย
ทำให้ปากสะอาด กำราบกลิ่นปากและโรคเหงือก
เพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย เพราะแบคทีเรียในโยเกิร์ตทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินเคและบีในลำไส้ได้ดีขึ้น

การทาน โยเกิร์ต ที่ได้ผลที่สุดควรจะทานโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่ไม่มีการแต่งกลิ่นแต่งรสเพิ่มน้ำตาลลงไป แต่ถ้าไม่ชอบความเปรี้ยวของมัน จะเอาไปทานแทนมายองเนสหรือปั่นรวมกับผลไม้ให้เป็นน้ำผลไม้อร่อยๆ ก็เป็นไอเดียที่ดี

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

ทำไมไม่สบายต้องให้น้ำเกลือ


หลายคนเข้าใจผิดเอาจริงๆ จังๆ ในเรื่องน้ำเกลือ คือไปนึกทึกทักว่าน้ำเกลือเป็นยาวิเศษ ถ้าต้องเข้าโรงพยาบาล หรือ แม้แต่ไปพบหมอ ต้องขอร้องให้ ให้น้ำเกลือ โดยให้เหตุผลร้อยแปดพันเก้า เช่น จะได้อ้วนท้วนแข็งแรงสุขภาพดี กินได้ นอนหลับ เป็นต้น ส่วนบางคนเข้าใจผิดไปอีกด้านหนึ่งเลย คือเชื่อว่าการให้น้ำเกลือเป็นสัญญาณว่าคนไข้อาการหนักแล้ว อย่างนี้ต้องอธิบายให้ฟังทั้งคู่เสียแล้วละ

เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ
ตาม ปกติแล้วร่างกายของคนเราจะเสียน้ำออกไปจากร่างกาย โดยการขับถ่ายเป็นน้ำปัสสาวะ หรือเป็นเหงื่อ หรือเป็นไอน้ำออกมาทางลมหายใจ รวมแล้วจะมีน้ำที่ขับออกมาจากร่างกายวันหนึ่งราว ๒ ลิตรครึ่ง เราจึงต้องการน้ำเข้าไปแทนที่โดยการดื่มน้ำ หรือรับประทานอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ

แต่เมื่อผู้ป่วยเสียน้ำมากกว่าปกติ เช่น ท้องเดิน อาเจียน เหงื่อออกมาก ไข้สูง เสียเลือดจากอุบัติเหตุ เป็นต้น แพยท์จึงต้องให้น้ำเข้าไปทดแทน โดยให้น้ำเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง แต่เนื่องจากน้ำกับเลือดมีความเข้มข้นต่างกัน จึงเติมเกลือลงไปในน้ำ เพื่อให้มีความเข้มข้นเท่ากับเลือด นอกจากนั้นน้ำเกลือยังช่วยเปิดเส้นเลือดไว้ เพื่อให้เลือดหมุนเวียน จนยาที่ผสมอยู่สามารถไหลเข้าไปหล่อเลี้ยงเส้นเลือดดำได้อย่างราบรื่น

น้ำเกลือจึงไม่ใช่ทั้งยาวิเศษ และสัญญาณอันตรายอะไรเลย เป็นขั้นตอนที่มีเหตุผลของการฟื้นฟูร่างกายของเราเท่านั้นเอง

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

ชาเขียวมีประโยชน์ต้องชงดื่ม ไม่ใช่ดื่มจากขวด


ปัจจุบันกระแสการบริโภคชาเขียวกำลังเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย ทำให้มีการนำชาเขียวมาดัดแปลงเป็นสินค้าที่มีอยู่ตามท้องตลาดมากมายหลายชนิด ซึ่งส่งผลทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากชาเขียวกลายเป็นสินค้าที่มียอดขายสูง

อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า แท้ที่จริงแล้ว การดื่มชาเขียวให้ถูกต้องและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้น จะต้องดื่มให้ถูกวิธีจึงจะได้รับสารสำคัญต่างๆ ที่มีอยู่อย่างครบถ้วน ที่สำคัญคือ มีข้อมูลจากทางการแพทย์แผนจีนยืนยันด้วยว่า การดื่มจากขวดนั้นเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง

มานพ เลิศสุทธิรักษ์ นายกสมาคมแพทย์แผนจีนในประเทศไทย ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า การนำชาเขียวมาใช้ควบคู่กับพืชชนิดอื่น ๆ จะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการรักษาโรคได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ สำหรับวิธีการใช้มีด้วยกันทั้งหมด 15 วิธี คือ

1.การใช้ชาเขียวร่วมกับใบหม่อน ที่ช่วยป้องกันโรคหวัด ลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
2.การใช้ชาเขียวกับส่วนหัวของต้นหอม จะช่วยขับเหงื่อ แก้ไข้หวัด
3.การใช้ชาเขียวร่วมกับขิงสด ช่วยรักษาอาการอาหารเป็นพิษและจุกลม
4.การใช้ชาเขียวร่วมกับตะไคร้แห้งจะช่วยขับไขมันในเส้นเลือด
5.การใช้ชาเขียวร่วมกับคึ่นฉ่ายจะช่วยในการลดความดันโลหิต
6.การใช้ชาเขียวร่วมกับไส้หมาก ลดน้ำตาลในเส้นเลือด
7.การใช้ชาเขียวร่วมกับดอกเก๊กฮวยสีเหลือง จะช่วยแก้วิงเวียนศีรษะ ตาลาย
8.การใช้ชาเขียวร่วมกับลูกเดือย จะลดอาการบวมน้ำ ตกขาว และมดลูกอักเสบ
9.การใช้ชาเขียวร่วมกับเม็ดเก๋ากี้ จะช่วยลดความอ้วน แก้ตาฟาง
10.การใช้ชาเขียวร่วมกับโสมอเมริกา ทำให้สดชื่น บำรุงหัวใจ แก้คอแห้ง
11. การใช้ชาเขียวร่วมกับเนื้อลำไยแห้ง จะบำรุงสมอง เสริมความจำ
12. การใช้ชาเขียวร่วมกับบ๊วยเค็ม จะช่วยบรรเทาอาการคอแห้ง แสบคอ เสียงแหบ 13. การใช้ชาเขียวร่วมกับหนวดข้าวโพด จะลดความดันโลหิต ลดน้ำตาลในเส้นเลือด ลดอาการบวมน้ำ
14. การใช้ชาเขียวร่วมกับน้ำตาลกลูโคส จะช่วยบรรเทาอาการตับอักเสบ
และ 15.การใช้ชาเขียวร่วมกับเม็ดบัว จะช่วยบรรเทาอาการฝันเปียก และยับยั้งการหลั่งเร็ว

นอกจากนี้ นายกสมาคมแพทย์แผนจีนในประเทศไทยยังบอกถึงคุณสมบัติหลักของชาเขียวด้วยว่า นอกจากสรรพคุณในเรื่องของการขับพิษ ขับปัสสาวะ ขับไขมันในเส้นเลือด ทำให้เย็น ชุ่มคอแล้ว รสขมอมหวาน หอม ในชาเขียวยังให้ประโยชน์ในการรักษาโรคต่าง ๆ ได้หลายโรค ทั้งยังช่วยผ่อนคลายอารมณ์ สงบประสาท ระบายความร้อนตื้อ จากศีรษะและเบ้าตา ช่วยให้สดชื่น ไม่ง่วงนอน ช่วยให้หายใจสดชื่น เจริญอาหาร แก้เมาเหล้า ทำให้สร่างเมา ขับปัสสาวะ ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีและในไต และสามารถขับเหงื่อ แก้หวัด

ขณะเดียวกันชาเขียวยังช่วยแก้กระหาย ระบายร้อนจากระบบปอด ขับเสมหะ ขับไขมัน ลดความอ้วน แก้ร้อนใน ขับพิษตกค้าง บิด ท้องร่วง ท้องเสีย ช่วยทำให้ฟันแข็งแรงและที่ได้ผลดีคือสามารถเป็นยาอายุวัฒนะ

อย่างไรก็ตาม นอกจากความมหัศจรรย์ของชาเขียวที่สามารถรักษาโรคภายในได้แล้วยังสามารถช่วยรักษาโรคภายนอกได้ด้วย เช่น พอกแผลอักเสบ พุพอง ฝีหนอง ไฟไหม้ ผื่นคัน ผิวร้อนแห้ง ช่วยให้ตาสว่าง เย็น ไม่อักเสบ สามารถดับกลิ่น เป็นยากันยุง และนำไปทำหมอนใบชาเพื่อลดอาการปวดหัวเวลานอนได้อีก

ทั้งนี้ ชาที่ดีจะต้องมีรสขมอมหวานและมีกลิ่นหอม โดยในชาเขียวมีสารต่างๆ ที่อยู่ในใบชา 300-400 ชนิด แต่มีสารสำคัญอยู่ 6 ชนิด คือ 1.กาเฟอีนซึ่งช่วยทำให้ร่างกายสดชื่น มีผลต่อการเต้นของหัวใจ ผ่อนคล้ายกล้ามเนื้อ และสามารถขับปัสสาวะได้ดี 2.ทิโอฟิลีนช่วยทำให้ร่างกายสดชื่น ส่งผลต่อการเต้นของหัวใจ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและช่วยในการขับปัสสาวะ 3.ทิโอโบรมีนช่วยทำให้ร่างกายสดชื่น มีผลต่อการเต้นของหัวใจ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและช่วยในการขับปัสสาวะ 4.แทนนิน 5.มีวิตามินต่าง ๆ เช่น B1,B2,B3,B5, A,D,E,K, C และ 6.มีแร่ธาตุ,ไขมันและน้ำตาล

นายกสมาคมแพทย์แผนจีนในประเทศไทย ให้ข้อมูลเพิ่มเติม แม้ชาเขียวจะมีประโยชน์กับร่างกายมากมาย แต่ในความจริงก็มีสารที่มีโทษกับร่างกายด้วยเช่นกันโดยสามารถส่งผลข้างเคียงต่อร่างกาย แต่ไม่ถึงกับเป็นอันตรายมากนัก ส่วนมากจะเกิดกับคนที่มีสภาพร่างกายไม่แข็งแรง โดยเมื่อดื่มแล้วอาจมีอาการใจสั่น นอนไม่หลับ ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ทั้งยังอาจทำให้เกิดอาการท้องผูก ฟันดำ และหากดื่มอย่างต่อเนื่องอาจเป็นการเสพติดได้

“สำหรับชาเขียวในที่นี้ ไม่ใช้เครื่องดื่มชาเขียวที่มีจำหน่ายเป็นขวดในท้องตลาด แต่เป็นชาเขียวที่ต้องเป็นชาที่ชงเองแต่อย่าชงทิ้งไว้ควรดื่มตอนร้อน ๆ และไม่ควรใส่น้ำตาลทรายขาวลงไปในการชงชาเพราะจะทำให้คุณสมบัติทางยาของชาเขียวหมดไป”มานพสรุปอย่างตรงไปตรงมา

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าชาเขียวสามารถรักษาโรคต่าง ๆ ได้หลายโรคแต่จะต้องกินให้ถูกวิธีและใช้ให้เหมาะสมกับร่างกาย จึงจะทำให้การดื่มชาเขียวเกิดประโยชน์อย่างสูงสุด เพราะในการวิจัยผู้ดื่มชาเขียวเป็นประจำยังไม่พบว่ากลุ่มคนเหล่านี้ ได้รับโทษจากการดื่มชาเขียว แต่กลับกันกลุ่มคนเหล่านี้กับมีร่างกายที่แข็งแรง และยังมีภูมิคุ้มกันในการต้านโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี แล้ววันนี้คุณดื่มชาเขียวแล้วหรือยัง

น้ำมันมะกอก


น้ำมันมะกอกนอกจากจะเป็นน้ำมันพืชชั้นดี ที่นำมาปรุงอาหารฝรั่ง
ได้อร่อยแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมายทีเดียวค่ะ

น้ำมันมะกอก เป็นน้ำมันจากพืชที่แม้จะมีแคลอรี่สูง แต่มีข้อดีคือ
มีกรดไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์กับร่างกายสูง และเป็นไขมันชั้นดี
ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือด จึงช่วยป้องกัน
โรคหลอดเลือดหัวใจได้ นอกจากนี้ในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วย
วิตามินวิตามินเอ และอี ที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ทำให้น้ำมัน
มะกอกไม่เหม็นหืน โดยไม่ต้องเติมสารกันหืนเหมือนน้ำมันพืช
บางชนิด

นอกจากนี้ ยังมีผลการศึกษายืนยันว่า น้ำมันมะกอกช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมในผู้หญิงอีกด้วยค่ะ และล่าสุด ดร.ไมเคิล สโตนแฮมและคณะ จากมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด ได้ทำการประเมินผลของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และหาความสัมพันธ์ระหว่างอาหารและน้ำมันมะกอกต่อการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยทำการรวบรวมข้อมูลจากประเทศต่างๆมากถึง 28 ประเทศใน 4 ทวีป พบว่าผู้ที่รับประทานผักรวมทั้งน้ำมันมะกอกเป็นประจำ มีอัตราการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ต่ำอย่างชัดเจนค่ะ จึงเป็นข่าวดีของผู้ที่ปรุงอาหารด้วยน้ำมันมะกอกอีกชิ้นหนึ่งค่ะ นั่นคือน้ำมันมะกอกช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ด้วยค่ะ

มีข้อดีอย่างนี้ ลองนำน้ำมันมะกอกมาปรุงอาหารกันบ้าง ก็น่าจะดีเหมือนกันนะคะ แต่การเลือกซื้อน้ำมันมะกอกสักขวด ควรจะไปทำความรู้จักชนิดของน้ำมันมะกอกกันก่อนจะดีกว่าค่ะ

Extra Virgin Oil เป็นน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ จากการบีบจากลูกมะกอก น้ำมันมะกอกชนิดนี้ จะมีสีเขียวเข้มใส นิยมนำมาใช้ในการทำ สลัด น้ำจิ้ม หรือเครื่องปรุงรสอื่น ๆ

Refined Olive เป็นน้ำมันมะกอกที่ผ่านการกลั่น ราคาจะถูกกว่าชนิดแรก และมีสีเขียวใสกว่า.

Olive Oil เป็นน้ำมันมะกอกที่ให้สีอ่อนกว่าสองชนิดแรก เป็นการ
ผสมระหว่างน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์กับน้ำมันมะกอกที่ผ่านการกลั่น เหมาะสำหรับนำไปใช้ในการปรุงอาหารที่ไม่ต้องการกลิ่นที่รุนแรงหรือสำหรับคนที่เพิ่งลองใช้น้ำมันมะกอกในการปรุงอาหารค่ะและที่สำคัญราคาก็ถูกกว่าด้วย

จะใช้น้ำมันมะกอกปรุงอาหารได้อย่างไร

1. นำมาใช้เป็นส่วนผสมในการทำน้ำสลัด หรือน้ำจิ้ม

2. นำมาใช้ในการผัด ชนิดที่ใช้น้ำมันน้อย เช่นผัดผักเร็ว ๆ ผัดกระเพรา มักกะโรนี สปาเก็ตตี หรือ พาสต้า

3. นำมาใช้ในการหมักเนื้อสัตว์ชนิดต่าง ๆ ก่อนที่จะนำไปอบจะทำให้เนื้อนุ่มขึ้น

4. ใช้เป็นน้ำมันสำหรับทอด จะช่วยให้อาหารไม่อมน้ำมันเนื่องจากน้ำมันมะกอกจะให้ความร้อนสูง ทำให้อาหารสุกทั่วถึงอย่างรวดเร็ว ไม่สูญเสียคุณค่าทางโภชนาการอีกด้วยค่ะ

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

LOMO CAMERA :)


เดิมทีกล้องโลโม่ออกแบบมาเพื่อใช้ในหน่วยงานสายลับของกองทัพรัสเซีย โดย LOMO ย่อมาจาก Leningrad Optical Machinery Organization ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ผลิตเลนส์เพื่อใช้ในโครงการอวกาศของกิจการกองทัพและผลิตเลนส์ที่ใช้ในกล้องโทรทัศน์


จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2526รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงและอุตสาหกรรมของสหภาพโซเวียตในขณะนั้น มีคำสั่งให้หน่วยงาน LOMO ผลิตกล้องเลียนแบบกล้องคอมแพคท์ของญี่ปุ่นขึ้นมาให้เร็วที่สุด ถูกที่สุดและมากที่สุดเพื่อแจกจ่ายให้พลเมืองรัสเซียทุกคนได้รู้จักการถ่ายรูป โดยมีคำขวัญว่า "คอมมิวนิสต์อันทรงเกียรติทุกคนควรมีกล้อง Lomo Kompakt Automat LC-A เป็นของตัวเอง" โดยผู้ผลิตกล้อง Lomo Kompakt Automat LC-A คือ Michail Aronowitsch Radionov อดีตสายลับ KGB[1]



ต่อมาเมื่อในปี พ.ศ. 2534 Matthias Fiegl และ Wolfgang Stranzinger หนึ่งในผู้บริหารบริษัท Lomographische AG
เดินทางไปท่องเที่ยวที่เมืองปราก สาธารณรัฐเช็ก แต่ลืมนำกล้องถ่ายรูปไปด้วย จึงไปซื้อและได้รู้จักกับกล้อง Lomo Kompakt Automat โดยบังเอิญ และหลังจากได้ถ่ายและล้างรูปจากร้านล้างรูปธรรมดาในซุเปอร์มาร์เก็ต[1] ผลออกมา พบว่าภาพถ่ายมีสีสันจัดจ้านดูผิดเพี้ยน แต่มีความสวยงามจนทำให้พวกเขาได้หลงใหลกับภาพที่ปรากฏขึ้น และในปี 2535 Fiegl และเพื่อนได้จัดตั้งบริษัท Lomographische AG ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย หลังจากนั้นไม่นานกระแสความนิยมในโลโม่กระจายไปทั่วโลก ภายใต้แนวความคิดว่า "Lomography is an analog lifestyle product"



โลโมกราฟีน้นการถ่ายภาพจากระดับเอว การใช้สีจัดเกิน สิ่งปนเปื้อนบนเลนส์ และจุดตำหนิอย่างจงใจ เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นศิลปะ เป็นนามธรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักถ่ายภาพโลโมกราฟีนิยมชมชอบ. ด้วยขนาดที่เล็ก ทำให้กล้องโลโมเป็นที่นิยมสำหรับการพกพา และใช้บันทึกภาพในชีวิตประจำวัน.

นอกจากนี้ ความสามารถในการถ่ายในที่ ๆ มีแสงน้อยได้ ทำให้มันเป็นที่นิยมสำหรับการภาพทีเผลอ (แคนดิด) การรายงานด้วยภาพ และภาพเหตุการณ์จริง (photo verit?, คำว่า verit? เป็นภาษาฝรั่งเศสแปลว่า ความจริง)


คติของโลโมกราฟีคือ "ไม่ต้องคิด ถ่ายไปเลย" ("don't think, just shoot")


ภาพที่ถ่ายจากกล้องโลโม่














วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ดื่มน้ำมากเกี่ยวอะไร กับการนอนดึก


ใคร ๆ ก็คงเคยนอนดึก ไม่ว่าจะนอนดึกจากการทำงานหรือว่าทำกิจกรรมต่าง ๆ การนอนดึกจะทำให้ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดอาการล้าและระบบร่างกายจะรวน ดังนี้

ระบบการย่อยอาหาร จะทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ง่าย อาหารย่อยไม่ดี ดังนั้น ควรลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์และให้ทานไข่ นม แทน

ระบบปัสสาวะ กลางดึกจะต้องลุกเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ เพราะกล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอาพลังงานออกมาใช้ ร่างกายจึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือปัสสาวะบ่อย ทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ดังนั้นควรจะทานแคลเซี่ยมเสริมชดเชยเม็ดโลหิตจาง

การนอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก และเติมเกลือในน้ำด้วย ดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้งทางปัสสาวะและเหงื่อการทานเกลือมาก ๆ จะขับออกมาทางเหงื่อได้ แต่ถ้าทานแคลเซี่ยมมาก ๆ จะทำให้กระดูกงอก

ส่วนน้ำอัดลมและเครื่องดื่มชูกำลังอย่าทาน เพราะถ้าอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะไว้ มันจะซึมกลับเข้าไปในเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย และไปประทุที่ขาหนีบหรือท้องแขนเป็นเม็ดแดง ๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย แต่บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย จะทำให้ลำไส้ทำงานหนักบีบตัวไม่ไหวต้องเค้น ก็จะเกิดอาการเพลีย

การดื่มน้ำมาก ๆ จะทำให้ถ่ายสบาย แต่ถ้าดื่มน้ำน้อย จะทำให้กรดยูเรียเข้มข้น พอกลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อยๆ จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด

รู้อย่างนี้แล้วก็ควรจะหันมาดื่มน้ำกันเยอะ ๆ เพื่อสุขภาพที่ดี.

วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ความเป็นมาของบัตรเครดิต(Credit Card)

บัตรเครดิตคงไม่มีใครที่ไม่รู้จักใช่ไหมคะ เพระาเป็นบัตรเอกประสงค์สามารถจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าได้โดยไม่ต้องใช้เงินสด แต่ต้องไปจ่ายกับธนาคารที่หลัง หรือพูดกันแบบง่ายๆ ก็คือยืมมาจ่ายก่อนนั้นเอง แต่คุณที่ใช้บัตรเครดิตอยู่เคยคิดกันไหม ว่าบัครเครดิตมีที่มาที่ไปอย่างไรกัน

ใครจะเชื่อ ว่าบัตรเครดิตเริ่มต้นเกิดขึ้นจากนวนิยายเรื่อง “ย้อนอดีต” (Looking Backward) ของนายเอ็ดเวิร์ด เบลลามี (Edward Bellamy) ที่ประพันธ์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1888 ตามเนื้อเรื่องเป็นภาพฉากประชาชนในเมืองแห่งหนึ่งได้รับสวัสดิการจากรัฐบาล ด้วยการรับบัตรเครดิตเพื่อนำมาจับจ่ายสินค้าและบริการต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ

ในปี ค.ศ.1900 โรงแรมแห่งหนึ่งได้นำความคิดของเบลลามีมาออกบัตรเครดิต ให้กับลูกค้าชั้นดี เพื่อนำไปจ่ายค่าบริการและอื่นๆ ของโรงแรม

ในปี ค.ศ.1914 บริษัทเยอเนอรัลปิโตรเลียม คอร์ปอเรชั่น ออฟแคลิฟอร์เนีย ซึ่งปัจจุบันคือบริษัท โมบิลออยส์ จำกัด โดยทำบัตรดังกล่าวให้กับลูกค้า และพนักงานของตน ที่ได้รับเลือกสรรแล้ว และนำไปชำระค่าน้ำมัน ตอนนั้นบัตรเครดิตนี้จะมีลักษณะเหมือนกับเหรียญโลหะ

ปี ค.ศ.1950 นายแฟรงค์ แมคนามารา (Frank McNamara) ซึ่งเป็นนักธุรกิจเกิดลืมพกกระเป๋าเงินติดตัวไปทานอาหาร และไม่มีเงินจ่าย ต้องให้ภรรยานำเงินมาชำระให้ จึงคิดว่าถ้ามีบัตรพิเศษที่ใช้แทนเงินได้ ก็จะดี จากนั้นก็ปรึกษากับนายราล์ฟ ชไนเดอร์ (Ralph Schncider) ซึ่งเป็นทนายความ และได้สร้างบัตร ไดเนอร์สคลับ ขึ้นมาเพื่อใช้ในการซื้อสินค้าและบริการแทนการชำระเงินโดยตรง ภายหลังได้มีบริษัท อเมริกันเอกซ์เพรส ได้ออกบัตรเครดิต โดยมีวัตถุประสงค์ในครั้งแรกเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวที่จะต้องเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ต้องพกเงินสดเป็นจำนวนมาก โดยได้นำเสนอบัตรที่สามารถนำไปขึ้นเงินได้ที่ธนาคารต่างๆ

ในปี ค.ศ.1951 ปีถัดมา ธนาคารแห่งชาติแฟรงกริน ในนิวยอร์ก เป็นธนาคารแห่งแรกที่ออกบัตรเครดิตให้กับประชาชนซึ่งเป็นชนิดที่นิยมใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน


วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

แมลงสาบตายทำไมต้องหงายท้อง?


แมลงสาบไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออาศัยอยู่บนพื้นผิวเรียบๆลื่นๆ และโล่งๆ โครงสร้างร่างกายของมันส่วนใหญ่สร้างมาเพื่ออาศัยอยู่ในพื้นที่ขรุขระ มีเศษวัสดุอย่างเช่น ใบไม้ กิ่งไม้ กระจัดกระจายไปทั่ว เมื่อมันมาอาศัยอยู่ในเมือง ซึ่งมีแต่พื้นเรียบๆลื่นๆ และโล่งๆ ก็จะทำให้มันมีโอกาสมากที่จะพลิกกลับลำตัวไม่ได้ เมื่อเผอิญหงายท้องไป ดังนั้นอาจบอกได้ว่า บ้านใครที่สะอาดๆ แมลงสาบมีโอกาสจะตายเองมากกว่า

อย่าง สุดท้าย และเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เราพบแมลงสาบหงายท้องตาย นั่นก็คือ แมลงสาบที่พบหงายท้องตาย มักตายจากยาฆ่าแมลง ซึ่งยาฆ่าแมลงนี้ จะมีผลต่อระบบประสาทของแมลงสาบ โดยไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Cholinesterase เอนไซม์ชนิดนี้เป็นเอนไซม์ที่มีหน้าที่สลาย Acetylcholine (ACh) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาท เมื่อเอนไซม์ไม่ทำงาน มี ACh มากเกินไป จะทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการอัมพาต ขาของแมลงสาบจะงอเข้าหากัน เกิดเป็นความไม่สมดุล และทำให้แมลงสาบหงายท้องตายนั่นเอง

วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ดื่มชาอย่าใส่นม !!!!!!!



หลังจากที่กระแสรัก สุขภาพมาแรงมากในระยะหลัง ๆ มานี้ เลยทำให้อาหารและเครื่องดื่มสุขภาพต่าง ๆ พลอยได้รับความนิยมตามไปด้วย ซึ่ง ชา นั้นถือว่าเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มสุขภาพ ที่เมื่อดื่มในปริมาณที่พอดีแล้วจะให้ประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก

อย่างไร ก็ดีนักวิจัยจากโรงพยาบาลคาริตของมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน เยอรมนี พบว่า นมทำให้ประโยชน์ของชาในการปกป้องโรคหัวใจหมดไป ชาเป็นเครื่องดื่มที่มีการบริโภคมากที่สุดทั่วโลกรองจากน้ำ ดังนั้น ประโยชน์ของชาจึงมีความสำคัญในแง่สาธารณสุข กระนั้น จนถึงขณะนี้กลับไม่มีใครรู้ว่า การเติมนมลงไปในชาจะให้ผลอย่างไร

จากงานวิจัยหลายชิ้นนั้นแสดงให้เห็น ว่า ชาช่วยทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และทำให้เส้นเลือดใหญ่ขยาย หลาย ๆ คนก็มีความชอบในการดื่มชาที่แตกต่างกันไป บ้างก็ชอบดื่มชาแบบเย็น บ้างก็ชอบดื่มชาแบบร้อน บ้างก็ชอบใส่นมลงไปในชาด้วย ซึ่งอันนี้นั้นก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน

ดร.เวเร นา สแตงล์ ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจของโรงพยาบาลคาริต และทีมนักวิจัยพบว่า

โปรตีน casein ในนมทำให้ปริมาณสาร casein ที่ มีฤทธิ์ปกป้องโรคหัวใจ ลดลง นักวิจัยทีมนี้เชื่อว่า ผลการค้นพบซึ่งตีพิมพ์อยู่ในวารสารยูโรเปียน ฮาร์ต เจอร์นัล สามารถอธิบายได้ว่า เหตุใดประเทศอย่างอังกฤษที่ประชาชนนิยมดื่มชาใส่นม จึงไม่มีสถิติว่าการดื่มชาช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดหัวใจ นักวิจัยเปรียบเทียบผลต่อสุขภาพจากการดื่มน้ำอุ่น ชาแบบเติมนมและไม่เติมนมกับผู้หญิงสุขภาพดี 16 คน

โดย ใช้อุลตราซาวด์ดูเส้นเลือดใหญ่บริเวณข้อมือก่อนและหลังดื่มชา 2 ชั่วโมง สิ่งที่พบคือ ชาดำทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับการดื่มน้ำอุ่น แต่เมื่อเติมนมลงไป คุณประโยชน์นั้นจะหายไปทันที การทดสอบกับหนูได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน

กล่าวคือการกินชาดำ กระตุ้นให้ร่างกายของหนูผลิตสารไนตริกออกไซด์ที่ช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว แต่เมื่อเติมนมลงไปในชา ปรากฏว่าไม่มีปฏิกิริยาดังกล่าวเกิดขึ้น นอกจากนั้น ยังเป็นที่รู้กัน ว่าชามีฤทธิ์ต่อต้านโรคมะเร็ง การศึกษานี้จึงอาจมีนัยต่อเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

"การที่นมทำให้กิจกรรมชีวภาพของสาร ประกอบในชาเกิดการเปลี่ยนแปลงจึง มีแนวโน้มว่า ผลในการต่อต้านเนื้อร้ายของชาอาจ มีปฏิกิริยากับนมเช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงควรศึกษาต่อไปเพื่อหาความเชื่อมโยงระหว่างการดื่มชากับการต่อต้านมะเร็ง ว่า การเติมนมส่งผลแบบเดียวกับกรณีนี้ด้วยหรือไม่" ดร.สแตงล์ทิ้งท้าย