วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

LOMO CAMERA :)


เดิมทีกล้องโลโม่ออกแบบมาเพื่อใช้ในหน่วยงานสายลับของกองทัพรัสเซีย โดย LOMO ย่อมาจาก Leningrad Optical Machinery Organization ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ผลิตเลนส์เพื่อใช้ในโครงการอวกาศของกิจการกองทัพและผลิตเลนส์ที่ใช้ในกล้องโทรทัศน์


จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2526รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงและอุตสาหกรรมของสหภาพโซเวียตในขณะนั้น มีคำสั่งให้หน่วยงาน LOMO ผลิตกล้องเลียนแบบกล้องคอมแพคท์ของญี่ปุ่นขึ้นมาให้เร็วที่สุด ถูกที่สุดและมากที่สุดเพื่อแจกจ่ายให้พลเมืองรัสเซียทุกคนได้รู้จักการถ่ายรูป โดยมีคำขวัญว่า "คอมมิวนิสต์อันทรงเกียรติทุกคนควรมีกล้อง Lomo Kompakt Automat LC-A เป็นของตัวเอง" โดยผู้ผลิตกล้อง Lomo Kompakt Automat LC-A คือ Michail Aronowitsch Radionov อดีตสายลับ KGB[1]



ต่อมาเมื่อในปี พ.ศ. 2534 Matthias Fiegl และ Wolfgang Stranzinger หนึ่งในผู้บริหารบริษัท Lomographische AG
เดินทางไปท่องเที่ยวที่เมืองปราก สาธารณรัฐเช็ก แต่ลืมนำกล้องถ่ายรูปไปด้วย จึงไปซื้อและได้รู้จักกับกล้อง Lomo Kompakt Automat โดยบังเอิญ และหลังจากได้ถ่ายและล้างรูปจากร้านล้างรูปธรรมดาในซุเปอร์มาร์เก็ต[1] ผลออกมา พบว่าภาพถ่ายมีสีสันจัดจ้านดูผิดเพี้ยน แต่มีความสวยงามจนทำให้พวกเขาได้หลงใหลกับภาพที่ปรากฏขึ้น และในปี 2535 Fiegl และเพื่อนได้จัดตั้งบริษัท Lomographische AG ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย หลังจากนั้นไม่นานกระแสความนิยมในโลโม่กระจายไปทั่วโลก ภายใต้แนวความคิดว่า "Lomography is an analog lifestyle product"



โลโมกราฟีน้นการถ่ายภาพจากระดับเอว การใช้สีจัดเกิน สิ่งปนเปื้อนบนเลนส์ และจุดตำหนิอย่างจงใจ เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นศิลปะ เป็นนามธรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักถ่ายภาพโลโมกราฟีนิยมชมชอบ. ด้วยขนาดที่เล็ก ทำให้กล้องโลโมเป็นที่นิยมสำหรับการพกพา และใช้บันทึกภาพในชีวิตประจำวัน.

นอกจากนี้ ความสามารถในการถ่ายในที่ ๆ มีแสงน้อยได้ ทำให้มันเป็นที่นิยมสำหรับการภาพทีเผลอ (แคนดิด) การรายงานด้วยภาพ และภาพเหตุการณ์จริง (photo verit?, คำว่า verit? เป็นภาษาฝรั่งเศสแปลว่า ความจริง)


คติของโลโมกราฟีคือ "ไม่ต้องคิด ถ่ายไปเลย" ("don't think, just shoot")


ภาพที่ถ่ายจากกล้องโลโม่














วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ดื่มน้ำมากเกี่ยวอะไร กับการนอนดึก


ใคร ๆ ก็คงเคยนอนดึก ไม่ว่าจะนอนดึกจากการทำงานหรือว่าทำกิจกรรมต่าง ๆ การนอนดึกจะทำให้ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดอาการล้าและระบบร่างกายจะรวน ดังนี้

ระบบการย่อยอาหาร จะทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ง่าย อาหารย่อยไม่ดี ดังนั้น ควรลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์และให้ทานไข่ นม แทน

ระบบปัสสาวะ กลางดึกจะต้องลุกเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ เพราะกล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอาพลังงานออกมาใช้ ร่างกายจึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือปัสสาวะบ่อย ทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ดังนั้นควรจะทานแคลเซี่ยมเสริมชดเชยเม็ดโลหิตจาง

การนอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก และเติมเกลือในน้ำด้วย ดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้งทางปัสสาวะและเหงื่อการทานเกลือมาก ๆ จะขับออกมาทางเหงื่อได้ แต่ถ้าทานแคลเซี่ยมมาก ๆ จะทำให้กระดูกงอก

ส่วนน้ำอัดลมและเครื่องดื่มชูกำลังอย่าทาน เพราะถ้าอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะไว้ มันจะซึมกลับเข้าไปในเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย และไปประทุที่ขาหนีบหรือท้องแขนเป็นเม็ดแดง ๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย แต่บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย จะทำให้ลำไส้ทำงานหนักบีบตัวไม่ไหวต้องเค้น ก็จะเกิดอาการเพลีย

การดื่มน้ำมาก ๆ จะทำให้ถ่ายสบาย แต่ถ้าดื่มน้ำน้อย จะทำให้กรดยูเรียเข้มข้น พอกลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อยๆ จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด

รู้อย่างนี้แล้วก็ควรจะหันมาดื่มน้ำกันเยอะ ๆ เพื่อสุขภาพที่ดี.

วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ความเป็นมาของบัตรเครดิต(Credit Card)

บัตรเครดิตคงไม่มีใครที่ไม่รู้จักใช่ไหมคะ เพระาเป็นบัตรเอกประสงค์สามารถจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าได้โดยไม่ต้องใช้เงินสด แต่ต้องไปจ่ายกับธนาคารที่หลัง หรือพูดกันแบบง่ายๆ ก็คือยืมมาจ่ายก่อนนั้นเอง แต่คุณที่ใช้บัตรเครดิตอยู่เคยคิดกันไหม ว่าบัครเครดิตมีที่มาที่ไปอย่างไรกัน

ใครจะเชื่อ ว่าบัตรเครดิตเริ่มต้นเกิดขึ้นจากนวนิยายเรื่อง “ย้อนอดีต” (Looking Backward) ของนายเอ็ดเวิร์ด เบลลามี (Edward Bellamy) ที่ประพันธ์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1888 ตามเนื้อเรื่องเป็นภาพฉากประชาชนในเมืองแห่งหนึ่งได้รับสวัสดิการจากรัฐบาล ด้วยการรับบัตรเครดิตเพื่อนำมาจับจ่ายสินค้าและบริการต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ

ในปี ค.ศ.1900 โรงแรมแห่งหนึ่งได้นำความคิดของเบลลามีมาออกบัตรเครดิต ให้กับลูกค้าชั้นดี เพื่อนำไปจ่ายค่าบริการและอื่นๆ ของโรงแรม

ในปี ค.ศ.1914 บริษัทเยอเนอรัลปิโตรเลียม คอร์ปอเรชั่น ออฟแคลิฟอร์เนีย ซึ่งปัจจุบันคือบริษัท โมบิลออยส์ จำกัด โดยทำบัตรดังกล่าวให้กับลูกค้า และพนักงานของตน ที่ได้รับเลือกสรรแล้ว และนำไปชำระค่าน้ำมัน ตอนนั้นบัตรเครดิตนี้จะมีลักษณะเหมือนกับเหรียญโลหะ

ปี ค.ศ.1950 นายแฟรงค์ แมคนามารา (Frank McNamara) ซึ่งเป็นนักธุรกิจเกิดลืมพกกระเป๋าเงินติดตัวไปทานอาหาร และไม่มีเงินจ่าย ต้องให้ภรรยานำเงินมาชำระให้ จึงคิดว่าถ้ามีบัตรพิเศษที่ใช้แทนเงินได้ ก็จะดี จากนั้นก็ปรึกษากับนายราล์ฟ ชไนเดอร์ (Ralph Schncider) ซึ่งเป็นทนายความ และได้สร้างบัตร ไดเนอร์สคลับ ขึ้นมาเพื่อใช้ในการซื้อสินค้าและบริการแทนการชำระเงินโดยตรง ภายหลังได้มีบริษัท อเมริกันเอกซ์เพรส ได้ออกบัตรเครดิต โดยมีวัตถุประสงค์ในครั้งแรกเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวที่จะต้องเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ต้องพกเงินสดเป็นจำนวนมาก โดยได้นำเสนอบัตรที่สามารถนำไปขึ้นเงินได้ที่ธนาคารต่างๆ

ในปี ค.ศ.1951 ปีถัดมา ธนาคารแห่งชาติแฟรงกริน ในนิวยอร์ก เป็นธนาคารแห่งแรกที่ออกบัตรเครดิตให้กับประชาชนซึ่งเป็นชนิดที่นิยมใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน