วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2555

ข้าวโพดสีม่วง ประโยชน์ล้ำที่คุณไม่เคยรู้ !!!


ศูนย์ ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดตรัง ประสบความสำเร็จในการพัฒนาและปลูกข้าวโพดเหนียวพันธุ์แฟนซีสีม่วง 111 และพันธุ์สีขาวม่วง 212 พบคุณสมบัติเยี่ยมด้านการต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดโอกาสการเกิดโรคมะเร็ง เตรียมเก็บเมล็ดพันธุ์ที่ผลิตได้รุ่นแรก เพื่อแจกจ่ายแก่เกษตรกรที่สนใจ

ทางศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดตรัง ประสบความสำเร็จ ในการปลูกข้าวโพดเหนียว พันธุ์แฟนซีสีม่วง 111 และพันธุ์แฟนซีสีขาวม่วง 212 จากการพัฒนาสายพันธุ์มาจาก ข้าวโพดสีม่วงผสมกับข้าวโพดเหนียว ทำให้ได้ข้าวโพดเหนียวสีม่วง ที่มีฝักใหญ่ รสชาตินุ่มลิ้น หวานและเหนียว

โดย สีม่วงเข้มในเมล็ดนั้น เป็นสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็งชนิดเนื้องอก เสริมให้ร่างกายต่อต้านเชื้อโรคและสมานแผล เสริมการทำงานของเม็ดเลือดแดง ชะลอการเกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือด ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและชะลอความแก่

นอกจากนี้ ข้าวโพดพันธุ์ดังกล่าว ยังให้ผลผลิตสูงถึง 2,500-3,000 กิโลกรัมต่อไร่ โดยใช้ระยะเวลาในการปลูกประมาณ 60-70 วัน โดยขณะนี้ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดตรัง จะทำการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่ผลิตได้รุ่นแรก เพื่อนำไปทำการขยายพันธุ์เพิ่ม ให้ได้ในปริมาณที่มากขึ้น ก่อนนำไปแจกจ่ายให้แก่เกษตรกรผู้สนใจ ทั้งในจังหวัดตรังและจังหวัดใกล้เคียง เพื่อเผยแพร่การปลูกข้าวโพดพันธุ์ดังกล่าว สร้างรายได้เสริม โดยเฉพาะตลาดคนรักสุขภาพให้การตอบรับอย่างมาก ซึ่งหลังทดลองจำหน่ายฝักสดแก่นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมชม ภายในศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดตรัง ปรากฏว่าปริมาณสินค้า มีไม่เพียงพอต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวเลยทีเดียว

ทั้งนี้ ข้าวโพดแฟนซีสีม่วง กำลังได้ความสนใจจากเกษตรกร ซึ่งทางศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดตรัง จะส่งเสริมให้เกษตรกรนำไปปลูกในไม่ช้านี้ ซึ่ง เชื่อว่าข้าวโพดเหนียวสีม่วงนี้ จะเป็นที่นิยมรับประทานเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีรสชาติดี คุณค่าทางอาหารสูง และเหมาะสำหรับคนรักสุขภาพ

วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555

วิธีฉีดน้ำหอมให้ติดทนนาน


ถ้าพูดถึงน้ำหอม เชื่อว่าใครหลายคนก็คงต้องใช้กัน เพราะความหอม ที่หอมสมชื่อ...คนส่วนใหญ่อยากให้น้ำหอมติดทนนานไปจนถึงเวลากลับบ้าน...แล้วรู้ไหมว่า การฉีดน้ำหอมให้ติดทนนานต้องทำอย่างใร?

วันนี้เรามีคำแนะนำมาบอกกัน

1. ควรฉีดน้ำหอมวันละ 2-3 ครั้ง ไม่ควรคิดว่าการฉีดน้ำหอมครั้งหนึ่งจะอยู่ได้นานทั้งวัน สารกันระเหยที่ใส่ในน้ำหอมใช้เพื่อให้น้ำหอมติดทนบนผิว นานที่สุดเท่าที่จะเป็นได้



2. ควรฉีดน้ำหอมตามจุดชีพจร เช่น ด้านในข้อมือ ข้อศอก ข้อพับใต้ติ่งหู (ไม่ใช่หลังใบหู)



3. การฉีดพรมน้ำหอมหลังทาโลชั่นบำรุงผิวจะทำให้น้ำหอมติดทนนานขึ้น



4. ถ้าผิวแพ้น้ำหอม ให้ฉีดน้ำหอมลงบนผ้าเช็ดหน้า แล้วใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้า หรือกระเป๋าถือ



5. ห้ามถูน้ำหอมให้ซึมเข้าไปในผิว เพราะการทำเช่นนั้นจะทำให้น้ำหอม "ช้ำ"ควรฉีดน้ำหอมลงบนผิว และปล่อยให้แห้งเองตามธรรมชาติ



6. ใช้น้ำหอมที่ต่างกลิ่นกันในแต่ละโอกาสหรืออารมณ์ เช่น ใช้น้ำหอมกลิ่นหนึ่งสำหรับกลางวัน และอีกกลิ่นหนึ่งสำหรับกลางคืน



7. รู้จักใช้น้ำหอมอย่างสร้างสรรค์ เช่น ฉีดลงบนกระดาษเขียนจดหมาย ก่อนพับใส่ซอง ฉีดพรมบนผ้าปูที่นอนก่อนเข้านอน ฉีดเบาๆ ที่หลอดไฟก่อนเปิดไฟ ฉีดที่เทียนไขก่อนจุด เป็นต้น

5 เรื่องธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

การใช้แปรงสีฟันร่วมกัน
สิ่งที่คุณคิด : ใช้แปรงสีฟันด้ามเดียวกับแฟน ดูโรแมนติกดีจัง
สิ่งที่ถูกต้อง : แบคทีเรียในช่องปากนั้นสะสมอยู่มากมายในแปรงสีฟัน หากใช้ร่วมกัน
อาจทำให้ติดโรคภายในช่องปาก หรือโรคติดเชื้อจากแผลในช่องปากด้วย
หากวันใดเพื่อนหรือแฟนไม่มีแปรงสีฟันจริงๆ ให้เขาใช้น้ำยาบ้วนปากแทน
เพราะน้ำยาบ้วนปากจะช่วยยับยั้งการก่อตัวของเชื้อแบคทีเรีย และทำให้ลมหายใจหอมสดชื่นอีกด้วย

...ใช้เครื่องเป่ามือในห้องน้ำสาธารณะ
สิ่งที่คุณคิด : หลังเข้าห้องน้ำแล้วควรล้างมือทุกครั้ง แล้วตบท้ายด้วยการเป่ามือให้แห้ง เพื่อฆ่าเชื้อโรคให้หมดไป
สิ่งที่ถูกต้อง : ขอร้องเลยว่า อย่าทำให้มือแห้งด้วยเครื่องเป่ามือตามที่สาธารณะทั่วไป
เพราะท่อส่งอากาศที่ถูกเป่าออกมานั้น เต็มไปด้วยจุลินทรีย์ที่กำลังแพร่ขยายพันธุ์อยู่
ผลที่ได้คือ มือของคุณจะปราศจากแบคทีเรีย แต่จะอุดมไปด้วยเชื้อโรคมากกว่าตอน
ก่อนล้างมือเสียอีก ดังนั้นควรซับมือด้วยกระดาษชำระ หรือผ้าเช็ดมือแบบใช้ครั้งเดียวเท่านั้น

...การนั่งบนชักโครกสาธารณะ
สิ่งที่คุณคิด : ดูแล้วฝารองนั่งก็สะอาดดี นั่งไปเลยก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก
สิ่งที่ถูกต้อง : เวลาสาวๆนั่งปัสสาวะหรือถ่ายทุกข์แบบหนัก ไม่ว่าจะน้ำปัสสาวะ
หรือของเสียอื่นๆ ก็อาจจะมีบางส่วนที่กระเด็นมาสะสมกันอยู่ที่บริเวณโถรองนั่งของชักโครก
จนเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคขนาดมหึมา ฉะนั้นก่อนเข้าห้องน้ำสาธารณะทุกครั้ง เช็ดให้สะอาด
ด้วยกระดาษชำระชุบน้ำ แล้วตามด้วยกระดาษชำระที่แห้งวางทับบนโถรองนั่ง ก่อนปลดทุกข์
ทุกครั้ง รับรองว่าวิธีการนี้ได้ผลแน่นอน

...การกลั้นจาม
สิ่งที่คุณคิด : ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยก็แค่กลั้นจามเท่านั้น ก็การจามดังๆ ดูไม่มีมารยาท แถมยังอาจถูกมองว่าทำตัวสกปรกอีกด้วย
สิ่งที่ถูกต้อง : คุณรู้ไหมว่าอัตราความเร็วในการจามแต่ละครั้งนั้นสูงถึง 160 กม./ชม.ทีเดียว
ดังนั้นการยื้อหรือกลั้นไม่ให้จามนั้นจะก่อให้เกิดแรงอัดอากาศภายใน อาจส่งผลทำให้เยื่อแก้วหูแตกหรือเป็นรูได้

...กินยาแก้ปวดทุกครั้งที่ปวดศีรษะ
สิ่งที่คุณคิด : ก็ปวดหัวนี่นา ถ้าไม่กินยาแก้ปวด แล้วจะหายปวดหัวได้อย่างไร
สิ่งที่ถูกต้อง : การรับประทานยาแก้ปวดหัวบ่อยๆ และเป็นเวลานานจะมีผลทำให้ตัวยาสะสม
และอาจกัดจนเป็นแผลในช่องท้อง หรือมีผลให้ตับทำงานหนักจนเกิดผลเสียกับตับได้
หนทางแก้ไขก็คือ เมื่อมีอาการปวดศีรษะ ให้พยายามดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
หรือถ้าปวดศีรษะเนื่องจากนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ก็ให้พักสายตาชั่วโมงละ 5 นาที
ช่วงทานข้าวกลางวันก็ออกไปเดินเล่นเสียหน่อยเพื่อเป็นการพักผ่อนสายตาไปในตัว

สารให้ความหวานแทนน้ำตาล



ในปัจจุบันมีสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่ปลอดภัย ให้เลือกใช้ในท้องตลาดอยู่หลายชนิด แต่ละชนิดจะมีข้อดี-ข้อด้อยแตกต่างกันไป ดังนั้น ถ้าเรามีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็จะทำให้เราสามารถเลือกใช้สารให้ความหวานเหล่านี้ได้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์

สารให้ความหวานแทนน้ำตาลชนิดที่ให้พลังงาน ได้แก่ ฟรุกโทส ซึ่งเป็นน้ำตาลจากผลไม้ มอลทิทอล ซอร์บิทอล และไซลิทอล สารให้ความหวานกลุ่มนี้ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก และผู้ป่วยโรคเบาหวาน ส่วนสารให้ความหวานที่ไม่ให้พลังงาน หรือให้พลังงานต่ำ ได้แก่ ซูคราโลส สตีเวีย ซึ่งเป็นสารสกัดจากหญ้าหวาน แอสปาแตม อะซิซัลเฟม-เค แซคคารีนหรือที่เรียกว่าขัณฑสกร สารให้ความหวานกลุ่มนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก และผู้ป่วยโรคเบาหวาน

สารให้ความหวานแทนน้ำตาล (sweetener) เป็นสารเคมีที่ใช้กันมากอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งให้รสหวาน แต่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ และไม่ให้พลังงาน ใช้แทนที่น้ำตาลซึ่งผู้ป่วยโรคเบาหวานใช้ไม่ได้ จึงเป็นสารที่มีคุณค่าทางการแพทย์ นอกจากนั้นยังใช้เป็นเครื่องปรุงรสอาหารสำหรับผู้เป็นโรคอ้วน และใช้ในอุตสาหกรรมผลิตอาหาร เพื่อลดต้นทุนการผลิต

พระราชบัญญัติอาหาร

สารให้ความหวานแทนน้ำตาล ถูกจัดเป็นอาหารควบคุมเฉพาะตามพระราชบัญญัติอาหารปี พ.ศ. 2522 และใช้อักษรย่อว่า "คน" ปัจจุบันมีอยู่ 2-3 ยี่ห้อในท้องตลาด โดยทุกยี่ห้อใช้สารทดแทนหลักเหมือนกันคือแอสปาเทม (aspartame) แอสปาเทมประกอบด้วยกรดอะมิโน 2 ชนิดต่อกัน คือ ฟินิลอลานิน (phenylalanine) และกรดแอสปาติก (aspartic acid) แอสปาเทมให้ความหวานประมาณ 200-300 เท่าของน้ำตาลทรายในปริมาณเดียวกัน

ฟินิลคีโตนูเรีย

บนฉลากของสารให้ความหวานแทนน้ำตาลทุกยี่ห้อ มีข้อความระบุว่าห้ามใช้ในสภาวะฟินิลคีโตนูเรีย หรือในผู้ป่วยโรคดังกล่าว ทั้งนี้เนื่องจากร่างกายของผู้ป่วยโรคฟินิลคีโตนูเรีย ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากกรดอะมิโนฟินิลอลานิน แต่กลับเกิดพิษจากกรดอะมิโนชนิดนี้ได้ อย่างไรก็ตาม โรคนี้มักเป็นตั้งแต่แรกเกิด 1 วัน ผู้ป่วยจึงมักต้องถูกจำกัดอาหารชนิดต่าง ๆ ตั้งแต่เกิดแล้ว สำหรับบุคคลทั่วไปจึงไม่จำเป็นต้องกังวลกับคำเตือนข้อนี้

ขัณฑสกร

ฉลากของผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ทุกยี่ห้อ ระบุว่า ไม่มีแซกคาริน (saccharin) หรือขัณฑสกรนั่นเอง ขัณฑสกรเป็นสารที่ให้ความหวานที่ใช้มาแต่ดั้งเดิม ปัจจุบันสถานะของขัณฑสกรถือว่าปลอดภัย แต่ผู้บริโภคหลายกลุ่มยังไม่มั่นใจนัก เพราะได้เคยมีการศึกษาในอดีตหลายครั้ง ที่มีผลให้ขัณฑสกรถูกงดใช้ไปหลายครั้ง นอกจากนี้ขัณฑสกรยังมีรสชาติขมในคอหลังจากกลืนแล้ว โดยเฉพาะเมื่อใช้ในปริมาณที่สูง

แอสปาเทม

1. แอสปาเทม ถือว่าเป็นวัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล ที่มีรสชาติใกล้เคียงน้ำตาลทรายมากที่สุด จึงเป็นที่นิยมใช้ในปัจจุบันนี้

2. แอสปาเทม ประกอบด้วยกรดอะมิโน 2 ชนิดต่อกัน คือ ฟินิลอลานิน (phenylalanine) และกรดแอสปาติก (aspartic acid) แอสปาเทมให้ความหวานประมาณ 200-300 เท่าของน้ำตาลทรายในปริมาณเดียวกัน

3. ข้อเสียของแอสปาเทมคือ สลายตัวในอุณหภูมิที่สูง จึงมักเห็นคำแนะนำไม่ให้ใช้ในอาหารขณะที่กำลังปรุงบนเตา เพราะอุณหภูมิสูงทำให้แอสปาเทมสลายตัว รสชาติของอาหารก็จะเปลี่ยนไปจากที่ปรุงตอนแรก

ราคาขายของผลิตภัณฑ์

1. ราคาขายของผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ จะต่ำกว่าที่ทางผู้ผลิตตั้งไว้เป็นอย่างมาก มีการแข่งขันที่สูงพอควร ในฐานะผู้บริโภค การเลือกซื้อควรกระทำโดยพิจารณาเป็นปริมาณน้ำตาลเปรียบเทียบ

2. ชนิดที่บรรจุเป็นซองมีน้ำหนัก 1 กรัม และมีแอสปาเทมผสมอยู่เพียงร้อยละ 3.8 บางยี่ห้อมีชนิดเม็ดบรรจุในกล่องคล้ายกล่องยาอม โดย 1 เม็ดมีน้ำหนักเพียง 70 มิลลิกรัม (0.07 กรัม) แต่มีความเข้มข้นของแอสปาเทมสูงกว่าชนิดซองมาก ซึ่ง 1 เม็ดนี้มีน้ำหนักเพียง 0.07 กรัมเท่ากับน้ำตาล 1 ช้อนชาแล้ว

3. ชนิดกล่องละ 50 ซอง ราคาเท่ากับน้ำตาลทราย 100 ช้อนชา (419 กรัม) ในราคา 66-85 บาท จึงเท่ากับซื้อน้ำตาลบริโภคในราคา 157-203 บาทต่อกิโลกรัม

4. ควรบริโภคผลิตภัณฑ์ชนิดนี้เมื่อจำเป็นเท่านั้น การควบคุมน้ำตาลให้ได้พอดีต้องคุมอาหารชนิดอื่น ๆ ที่มีน้ำตาล และแป้งมากด้วย ไม่ใช่เฉพาะน้ำตาลในชาหรือกาแฟเท่านั้น นอกจากนี้ ยังควรทราบถึงชนิดหรือประเภทของอาหารที่มีน้ำตาล หรือแป้งสูงด้วย เพื่อที่จะสามารถหลีกเลี่ยงหรือระมัดระวังการบริโภคอาหารดังกล่าว เพื่อช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ได้ผลด้วย

ไซลิทอล

1.ไซลิทอล (xylitol) เป็นน้ำตาลแอลกอฮอล์ธรรมชาติชนิดหนึ่ง ที่มีคาร์บอน 5 อะตอม ในโครงสร้างเป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาล พบได้ในพืช ผัก ผลไม้หลายชนิด อาทิ สตรอเบอร์รี่ ต้นเบิร์ช

2. ร่างกายก็สามารถผลิตได้เองในระหว่างการสันดาปของกลูโคส โดยมากในกระบวนการผลิตมักสกัดมาจากต้นเบิร์ช ในประเทศฟินแลนด์

3. ช่วยลดจำนวนแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดฟันผุ ลดการเกิดหินปูน เป็นน้ำตาลที่เชื้อจุลินทรีย์ไม่สามารถย่อยสลายให้เกิดสภาวะกรดในช่องปากได้ จึงไม่เป็นเหตุให้เกิดฟันผุ จากผลการวิจัยพบว่า แบคทีเรียในช่องปากไม่สามารถย่อยสลายเป็นอาหารได้ จึงช่วยลดปริมาณการเกิดคราบฟัน และช่วยลดเชื้อสเตร็ปโตค็อกคัส มิวแทนส์ ที่อาศัยอยู่ในคราบฟันลงได้

4. สารไซลิทอลยังมีคุณสมบัติ ในการช่วยกระตุ้นการหลั่งของน้ำลาย ซึ่งเป็นตัวสภาวะความเป็นกรดในช่องปากให้เป็นกลาง และน้ำลายยังเป็นตัวกลางในการนำแร่ธาตุที่มีประโยชน์มาหล่อเลี้ยงฟัน จึงเท่ากับช่วยลดโอกาสของการเกิดฟันผุลงอีกทางหนึ่งด้วย

5. เนื่องจากคุณสมบัติพิเศษของไซลิทอลที่ช่วยลดปัญหาฟันผุ มีรสหวานอร่อย และเป็นผลิตผลจากธรรมชาติ หลาย ๆ ประเทศชั้นนำในยุโรป และอเมริกาจึงมีการนำไซลิทอลมาใช้เป็นส่วนประกอบในขนมขบเคี้ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมากฝรั่ง เพื่อช่วยลดปัญหาฟันผุ นับเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว และยังนิยมแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน

ซัยคาเมต

ซัยคลาเมต (cyclamate) เป็นสารให้รสหวานมีความหวานประมาณ 30 เท่าของน้ำตาลซูโครส ซึ่งปัจจุบันได้ห้ามใช้แล้ว ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2522) เนื่องจากพบว่าสามารถทำให้เกิดมะเร็งในสัตว์ทดลอง

ซัคคาริน

1. ซัคคาริน (saccharin) เป็นสารเคมีที่ใช้กันแพร่หลายมีความหวานเป็น 300 - 400 เท่าของน้ำตาลซูโครส ซัคคารินถูกทำลายโดยความร้อน จึงไม่สามารถนำมาใช้ในการประกอบอาหารที่ใช้ความร้อนสูง ๆ

2. ถ้าหากรับประทานซัคคารินในขนาด 5 - 25 กรัมต่อวันเป็นเวลาหลาย ๆ วัน หรือรับประทานครั้งเดียว 100 กรัม จะทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ปวดท้อง ซึมและชักได้ บางคนอาจแพ้ซัคคารินได้แม้กินในจำนวนน้อยอาการแพ้จะมีอาเจียน ท้องเดินและผิวหนังเป็นผื่นแดง

3. อาหารที่นิยมใส่ซัคคาริน ได้แก่ ผลไม้ดองและผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ไอศกรีม และขนมหวานต่าง ๆ

4. ถึงจะยังไม่พบหลักฐานที่แสดงว่า ซัคคารินมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งหรือ เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่การใช้ก็ควรอยู่ในวงจำกัด เช่น สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่บริโภคน้ำตาลมากเกินไปไม่ได้ ดังนั้นในปัจจุบันทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจึงอนุญาตให้ใช้ได้สำหรับ อาหารที่มีวัตถุประสงค์พิเศษเท่านั้น

สตีวิโอไซด์

1. สตีวิโอไซด์ (stevioside) เป็นสารที่ให้รสหวานแทนน้ำตาล สกัดได้จากต้นหญ้าหวาน มีชื่อทางพฤษศาสตร์ว่า Stevia rebaudiana Bertoni มีลักษณะเป็นผลึกสีขาว ดูดความชื่นได้ดี มีความหวานประมาณ 280 - 300 เท่าของน้ำตาลทราย

2. ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารมีข้อดีเหนือกว่าน้ำตาล หลายอย่าง เช่น ไม่ทำให้อาหารเกิดสีน้ำตาลเมื่อผ่านความร้อนสูง ๆ ไม่ถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ เพราะฉะนั้นเมื่อใช้กับอาหารจึงไม่ทำให้เกิดบูดเน่า และประการสำคัญที่สุดคือ ไม่ถูกดูดซึมในระบบการย่อย ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการให้พลังงานต่ำ ประมาณร้อยละ 0 - 3 แคลอรี จึงเหมาะที่จะใช้เป็นสารให้ความหวานกับอาหารสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน โรคอ้วน และโรคหัวใจ

3. นอกจากนั้นสตีวิโอไซด์ยังมีคุณภาพทนต่อความร้อนและกรด จึงนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารค่อนข้างแพร่หลาย เช่น ทำหมากฝรั่ง ลูกกวาด เครื่องดื่ม ไอศกรีม แยมเยลลี่ มาร์มาเลด ไม่เพียงแต่ใช้กับอาหารเท่านั้น ยังได้นำสตีวิโอไซด์ไปใช้แทนน้ำตาลในการผลิตยาสีฟัน และผสมสนบุหรี่อีกด้วย

4. จากการศึกษาถึงความปลอดภัยของสตีวิโอไซด์ ที่ทำกันมาเป็นเวลานานจนถึงปัจจุบันปรากฏว่า มีแนวโน้มทางด้านความปลอดภัยได้ดีพอสมควร

น้ำตาลทราย

1. น้ำตาลชนิดที่เราคุ้นเคยและใช้กันอย่างแพร่หลาย คือน้ำตาลทราย ซึ่งเป็นชนิดเดียวกันกับที่ฝรั่งเรียกว่า "ซูโครส"

2. ซูโครส ประกอบด้วยน้ำตาลซึ่งมีขนาดเล็ก 2 ตัวมาต่อกัน น้ำตาลทั้งสองชนิดนี้คือ กลูโคส และฟรุกโตส ทั้งนี้หมายความว่าเมื่อร่างกายบริโภคน้ำตาลซูโครสเข้าไป ก็จะถูกย่อยเป็นกลูโคสกับฟรุกโตส ก่อนที่จะนำไปผ่านกระบวนการอื่นในร่างกายต่อไปได้

3. น้ำตาลทรายแดง ไม่ได้ผ่านกระบวนการฟอกสีอย่างสมบูรณ์ ทำให้ยังมีการปนของสารธรรมชาติจากอ้อยอยู่บ้าง น้ำตาลทรายแดงจึงมีกลิ่นรสที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ และอาจไม่ปนเปื้อนกับสารที่ใช้ฟอกสีเหมือนน้ำตาลทรายขาว

4. น้ำตาลทราย ทั้งสองชนิดถูกจัดอยู่ในประเภทอาหารทั่วไปตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 และไม่จำเป็นต้องมีฉลาก จึงไม่พบเครื่องหมาย "อย." บนหีบห่อผลิตภัณฑ์

กลูโคส

1. น้ำตาลกลูโคส ปกติบรรจุจำหน่ายในกระป๋องโลหะสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน มีฝาปิด กลูโคสถูกจัดว่าเป็นอาหารควบคุมเฉพาะในหมวดเครื่องดื่ม ราคากิโลกรัมละ 60-70 กว่าบาท ซึ่งสูงกว่าน้ำตาลทรายธรรมดาประมาณ 4-6 เท่า ผู้ผลิตบางรายพยายามเพิ่มคุณค่าของผลิตภัณฑ์ขึ้น โดยการเสริมเกลือแร่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินดีลงไปด้วย

2. จุดด้อยของน้ำตาลกลูโคสคือ ความหวานที่ต่ำกว่าน้ำตาลทรายธรรมดาประมาณร้อยละ 40 ดังนั้น ถ้าต้องการความหวานปกติที่เคยใช้น้ำตาลทราย ต้องใช้น้ำตาลกลูโคสเพิ่มขึ้น ร้อยละ 40 อันจะมีผลให้ร่างกายได้รับน้ำตาลและพลังงานในปริมาณที่เพิ่มขึ้น

3. น้ำตาลกลูโคสเป็นน้ำตาลชนิดที่ร่างกายดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้เร็วที่สุด จึงมีผลในการเพิ่มน้ำตาลในเลือดอย่างรวดเร็ว ในผู้ป่วยเบาหวานจึงต้องระมัดระวังในการบริโภคน้ำตาลชนิดนี้

4. น้ำตาลกลูโคสมีประโยชน์ สำหรับผู้ที่อ่อนเพลียมาก ซึ่งต้องการพลังงานอย่างรวดเร็วเท่านั้น

ฟรุกโตส

1. น้ำตาลฟรุกโตสเป็นน้ำตาลอีกชนิดที่พบ แต่ยังไม่ค่อยแพร่หลายนัก บางครั้งเรียกว่าน้ำตาลผลไม้ ที่จำหน่ายอยู่เป็นผลิตภัณฑ์สั่งเข้าจากต่างประเทศ มักบรรจุในถุงพลาสติก และใส่ในกล่องกระดาษอีกชั้นหนึ่ง

2. ปกติน้ำตาลฟรุกโตสมักดูดความชื้นได้ง่าย จึงต้องระวังหลังจากเปิดถุงแล้ว

3. น้ำตาลชนิดนี้มีราคาสูงเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำตาลชนิดอื่น ๆ ราคาประมาณ 200-240 บาทต่อกิโลกรัม ฟรุกโตสเป็นน้ำตาลที่ประกอบเป็นซูโครส ฟรุกโตสจึงสามารถถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้รวดเร็วเช่นกัน

4. จุดเด่น ของฟรุกโตสคือมีความหวานมากกว่าน้ำตาลทรายถึง 1.4 เท่าที่อุณหภูมิปกติ จึงทำให้สามารถลดปริมาณการบริโภคน้ำตาลลงได้ ถ้าต้องการความหวานเท่ากัน

อันตรายจากผลไม้รถเข็น


ใครๆก้อรู้ว่า ผลไม้นั้นมีประโยชน์ และมีรสชาติอร่อยอีกด้วย บางคนใช้เพื่อลดน้ำหนักกันเลยทีเดียว ทำให้ผลไม้นั้นเป็นที่นิยมอย่างมากและสามารถหาได้ตามท้องถนนทั่วไป ประโยชน์ออกจะเยอะแล้วมันอัันตลายยังไงล่ะ !!!
งั้นวันนี้เรามาดูกันนะคะว่า อันตรายจากผลไม้รถเข็นคืออ่ะไรกันแน่ ผลไม้ที่วางขายตามรถเข็นที่ผ่านมาหน้าโรงเรียนบางครั้งเห็นได้ชัดเลยว่ามีเด็กนักเรียนซื้อกินกันแบบไม่ขาดสาย ผ่านมาทีเกือบหมดตู้ โดยที่ไม่รู้ว่าอันตรายได้มาถึงแล้วผลไม้ที่เห็นว่าสีสวย ดูน่ากิน น่าอร่ิอย จริงๆแร้วนั้นผลไม้พวกนี้นี่แหละ ได้ชุบสีเพื่อความสดใหม่ 100% ก่อนจะถึงผู้บริโภค เช่นสับปะรด ชุบสีเหลืองให้ดูฉ่ำๆ ฝรั่งชุบสีเขียวให้ดูสดใส ผลไม้ดองหลากหลายยิ่งอันตรายเข้าไปอีก เพราะว่า ในผลไม้ดองมีสารขัณฑสกร ซึ่งเป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาล หวานกว่าน้ำตาล 500 เท่า แล้วยังเพิ่มสีเพื่อความสวยสดอีกต่างหาก
แต่ก็อย่างว่าแหละค่ะ ผลไม้ไม่สดไม่สวยก็ไม่มีใครซื้อใครอยากกินผลไม้สดก้ต้องเสี่ยงอันตรายมากมายแบบนี้ ถ้าไม่กินก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะคะ เพราะฉะนั้น เราควรเลือกกินอย่างถูกวิธี ซื้อมาเป็นลูกๆจากตลาดล้างให้สะอาดหน่อย แร้วปอกกินกับครอบครัวโดยความเสี่ยงจากอันตรายก็จะน้อยลงไปด้วย
ผลไม้มีประโยชน์ แต่ไม่จำเป็นว่าจะไม่มีโทษเสมอไป !!!!